ครูบาศรีวิชัย
ครูบาศรีวิชัย

ปาฏิหาริย์ของครูบาศรีวิชัย

ถึงแม้ จะมรณภาพไปแล้ว นอกเหนือไป จากคุณงามความดีที่สิงใจคน ร่างกายของท่านทุกส่วนยังมีประโยชน์มหาศาล ซึ่งบรรดานักเล่นพระเครื่องจะทราบได้ดี มีคนจํานวนมากแสวงหาต้องการ บางคนลงทุนบูชาด้วยจํานวนเงินสูงๆ

ณ ที่นี้ จะกล่าวถึงเหรียญครูบาศรีวิไชยก่อน เหรียญนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๗๐ ณ วัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลําพูน โดยมีเจ้าคุณวิมลญาณมุนีและเจ้าผู้ครองนครลําพูน ร่วมมือกันสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่บรรดาสานุศิษย์ และผู้ศรัทธาทั้งปวง ถัดจากเหรียญก็มีพระรอดเกศา และพระคงเกศา ซึ่งไม่ได้เข้าพิธีปลุกเสก ทราบว่าผู้ทํา ทําอย่างตามใจชอบ โดยนั้นเป็นรูปพระรอดและพระคง แล้วนําเกศาของครูบาศรีวิไชยเข้าบรรจุไว้ แล้วแจกจ่ายกันต่อๆ ไปในหมู่ผู้ที่นิยมนับถือครูบาศรีวิไชย อย่างไรก็ดี แม้พระรุ่นนี้จะไม่ได้มีการ ปลุกเสกโดยถูกต้อง ผลก็ยังปรากฏออกมาให้เห็นชัดว่า ทรงคุณภาพดีเยี่ยมในทางเมตตามหานิยมแคล้วคลาดก็ดี หนําซ้ํา ยังก่อโชคลาภให้เกิดขึ้นแก่ผู้มีติดตัวอย่างไม่คาดฝันอีกด้วย

รายหนึ่ง.. มีเรื่องเล่าว่านักค้าฝิ่นติดตัวไปใช้ในกองคาราวานขนฝิ่น เมื่อเกิดปะทะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตํารวจ พรรคพวกเพื่อนถึงตายและบาดเจ็บไปหลายคน เป็นอยู่ดังนี้ถึงสามครั้ง เขาจึงรู้ว่าพระรอดเกศานีเยี่ยมมาก

อีกราย.. ผู้ใช้เป็นตํารวจ คราวหนึ่งต้องออกไปขจัดปราบปรามผู้ร้าย ถูกผู้ร้ายกราดด้วยกระสุนปืนในระยะเผาขน เขาก็ไม่ตาย รอดพ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์พิลึก

ผู้ที่ถูกจับฐานลักลอบเล่นการพนัน พอระลึกนึกถึง พระรอดเกศา ก็บันดาลให้รอดพ้นจากการติดตะรางทั้ง ๆ ที่น่าจะต้องโทษถึงร้อยเปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ ยังมีพระผงอัฐิรุ่นที่หนึ่ง ซึ่งท่านพระครูประสาสน์ สุตาคม เป็นประธานพร้อมด้วยคณะกรรมการ ของวัดจัดการสร้างที่วัดจามเทวี เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๙ครั้งนี้มีพิธีปลุกเสกถูกต้องซึ่งรุ่นนี้เป็นที่นิยมกันอย่างมาก ประชาขนแย่งกันเช่าบูชาและก็หมดไปในเวลาอันสั้น จึงในวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๖ ทางวัดจามเทวีได้จัดสร้างเป็นรุ่นที่สอง พระผงนี้สร้างจากผงอัฐิของครูบาศรีวิไชย หลังจากการเผาซึ่งได้เก็บไว้หลังจากที่แบ่งอัฐกันแล้ว พูดถึงด้านคุณภาพแล้ว ทางอยู่ยงคงกระพันชาตรีไม่มี แต่เยี่ยมในทางแคล้วคลาดและเมตตามหานิยม เข้าใจว่านักเลงพระทั้งหลาย คงจะประจักษ์กันดีอยู่แล้ว

อาการแปลกๆ ในตัวท่าน เถ้าแก่โหงว เล่าว่า
ครั้งหนึ่ง ในขณะกําลังมีการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ อยู่นั้น เถ้าแก่โหงวนิมนต์ท่านให้ขึ้นรถยนต์ไปบนดอยสุเทพด้วยกัน เพราะการเดินไปนั้นต้องเสียเวลามาก ครูบาศรีวิไชย ไม่ยอมขึ้นรถยนต์ตามคํานิมนต์กลับพูดบ่ายเบี่ยงว่า ให้เถ้าแก่โหงวไปก่อน ท่านยังไม่เสร็จธุระ จะตามขึ้นไปที่หลังขออย่าได้เป็นห่วงเลย เถ้าแก่โหงวได้ฟังดังนั้น ก็นําเสบียงและผู้คนที่ทําทางขึ้นรถไปบนดอยสุเทพ เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ปรากฏว่าครูบาศรีวิไชยกําลังนั่งบัญชางานอยู่ข้างบนแล้ว เถ้าแก่โหงวถึงกับงงงันไปหมด ถามท่านว่าขึ้นมาทางไหน ท่านตอบว่าเดินขึ้นมา เถ้าแก่โหงวสงสัย เพราะท่านเดินเร็วกว่ารถยนต์ เก็บมาคิดจนเถ้าแก่โหงวตาย ก็ยังคิดไม่ออกท่านขึ้นไปโดยวิธีใดจึงรวดเร็วปานนั้น

อีกคนหนึ่งเล่าว่า..
คราวหนึ่งมีขบวนแห่ครูบาศรีวิไชย เผอิญมีฝนตกลงมากระทันหัน ขณะนั้นท่านไม่ได้กางร่ม แต่สายฝนนั้นมิได้เปียกท่านเลย จีวรก็อยู่ในสภาพปกติ ไม่เปียก ฝนเช่นกัน คล้ายกับมีร่มกางอยู่ฉะนั้น

ที่จังหวัดเชียงราย ผู้เล่าชื่อ “ขวัญเดือน” เธอเล่าว่า ครั้งหนึ่งครูบาศรีวิไชยเดินทางไปจังหวัดเชียงราย ท่านพักที่วัดมุงเมือง ชาวเชียงรายทั้งไทยและเทศต่างเตรียมข้าวของไปถวายกันเป็นจํานวนมาก ในจํานวนนี้คุณแม่ของขวัญเดือน ได้จัดดอกไม้ธูปเทียนเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อนําไปถวาย ครูบาศรีวิไชยในตอนเช้า ในจํานวนเครื่องบริโภคนั้น มีสับปะรดกระป๋องรวมอยู่ด้วย พอคุณแม่ของขวัญเดือนยกถาด จะนําไปถวายครูบาศรีวิไชย น้องชายคนเล็กของขวัญเดือน อายุประมาณ ๕ ขวบ นึกอยากรับประทานสับปะรดขึ้นมาร้องไห้จะเอาสับปะรดในถาดนั้นให้ได้ แม้ว่าคุณแม่ของคุณขวัญเดือน จะปลอบจะขู่อย่างไรก็ไม่ยอมฟัง จนต้องบังคับให้พี่สาวพาไปทางอื่น คุณแม่และคุณขวัญเดือนจึงเดินทางนําของไปถวายครูบาศรีวิไชย แต่ในการถวายของนี้กว่าจะถวายได้ ต้องเสียเวลาคอยอยู่นาน จนกระทั่งคนบางตา จึงได้ยกของ เข้าไปถวายท่าน และในขณะนําของเข้าไปนั้น คุณแม่และ คุณขวัญเดือนต้องสะดุ้งและแปลกใจระคนกัน เพราะนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินครูบาศรีวิไชยกล่าวออกมาว่า “โยมเอย สับปะรดกระป๋องนั้น เอากลับไปให้ เด็กที่บ้านเสียเถิดนะ”

 

นี่แสดงว่าท่านมีญาณวิเศษ ในการสามารถรู้จิตใจคนได้ มีหลายต่อหลายคนที่ไปหาท่านๆ มักจะบอกล่วงหน้าว่า ผู้นั้นมาโดยมีความประสงค์อย่างนั้นอย่างนี้ใช่ไหม และก็ถู ดังท่านทราบล่วงหน้า

นี่คือบุคลิกลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง ที่กระทําให้คนบังเกิดความเลื่อมใส เคารพในตัวครูบาศรีวิไชย ชีวประวัติและพฤติการณ์ของครูบาศรีวิไชย เท่าที่ลําดับ เรื่องราวมาแต่ต้นจนบัดนี้ เราก็พอจะมองเห็นว่าครูบาศรีวิไชย คงจะมีอะไรที่พิเศษไปจากบุคคลธรรมดา เพราะท่านได้เรียก ร้องความเลื่อมใสศรัทธา จากประชาชนได้อย่างมากมายผิดกว่า บุคคลธรรมดา ถ้าท่านไม่มีอภินิหาร ท่านก็จะต้องมีอิทธิทางใจอย่างยอดเยี่ยม จึงสามารถโน้มน้าวจิตใจคนทั่วทั้งภาคเหนือ ให้เชื่อมั่นในวาจาของท่านดุจผู้วิเศษ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีผู้ยกย่องสรรเสริญ และมีสานุศิษย์มากมาย ท่านก็มิได้เห่อเหิมลืมตัวเหมือนคนบางประเภทในปัจจุบันนี้ ท่านคงบําเพ็ญตนอยู่ในสมณเพศ เช่นสาวกผู้เคร่งครัดในธรรมบทของพระพุทธองค์ ชั่วชีวิตของท่านเต็มไปด้วยการเสียสละเพื่อสาธารณประโยชน์ และท่านไม่รู้จักอิ่มในการที่จะบําเพ็ญคุณงามความดี ในชีวิตของท่านพบแต่ความลําบากมากด้วยการต่อสู้ การต่อสู้ของท่านเป็นการต่อสู้ด้วยหลักธรรม ซึ่งท่านเป็นผู้ชนะที่สุดในทุกครั้ง

แน่นอนที่สุด หากภพหน้ามีจริง ผลแห่งความดีคงจะ สนองตอบท่านให้ได้ถึงซึ่งความสุขอย่างแน่แท้ เพราะว่าบุคคลใดหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น

บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ อดีต ส.ส. จังหวัดเชียงรายพูดถึง ครูบาศรีวิไชยว่า “ผู้มีสมบัติ เพียงผ้าสบงจีวรหุ้มห่อร่างกาย แต่สร้างงานใหญ่หลายร้อยอย่าง ให้สําเร็จได้ด้วยแรงศรัทธาของ ประชาชน”

“ผู้ประเสริฐเลิศแท้นั้น หากมิใช่ครูบาศรีวิไชยแห่ง ลานนาไทยแล้ว คงมิใช่ผู้ใดอื่น”

ภิกขุปัญญา นันทะ พูดถึงครูบาศรีวิไชยว่า
ครูบาศรีวิไชย เป็นผู้มีปกติไม่รับไว้ แต่ให้เสมอ ข้อนี้ หมายความว่าท่านเป็นพระที่ไม่เก็บของอะไรๆ ไว้เพื่อตัวของ ท่านเองเลย ของอันใดที่ทายกถวายแก่ท่านๆ ก็ใช้ไปในงาน ที่ทําอยู่จนหมด ไม่มีการเก็บไว้เผื่อวันข้างหน้า ข้อนี้ควรจะ เป็นจริยาของพระทั่ว ๆ ไป เพราะพระเราเป็นผู้ไม่มีเรือน ไม่ ควรเก็บข้าวของไว้ให้พะรุงพะรัง บางท่านเก็บเงินไว้มากมาย พอตายลงจึงรู้ว่ามีเงินเท่าใด การกระทําเช่นนี้ไม่ถูกตามพุทธ นโยบาย ครูบาศรีวิไชยท่านไม่รับไว้ แต่จ่ายออกไปเสมอ คนจึงได้เลื่อมใสท่านมาก

เป็นผู้มีปกติไม่ขอร้องกับใครๆ การสร้างของใหญ่ได้สําเร็จนั้น ไม่ใช่สําเร็จด้วยการพิมพ์ฎีกาแจก ท่านไม่เคยทําเช่นนั้น ท่านมีปกติทําอย่างเดียวเท่าที่จะทําได้ ชาวบ้าน เห็นเข้าก็เลื่อมใส ได้ชักชวนกันมาถวายความช่วยเหลือกันมากมาย จนงานขยายออกไปใหญ่โต สําเร็จไปทุกแห่งอย่าง น่าอัศจรรย์ ทําตัวเดียวเท่านั้นที่นําผลมาให้เสมอ ผู้ที่หวัง ความช่วยเหลือจากประชาชน จงเป็นผู้ทําจริง ๆ เถิด ความ ช่วยเหลือก็มาหาเอง

เป็นผู้มีใจดี มีเมตตากรุณา ใครๆ ที่เข้าใกล้ท่าน ทุกคนบอกว่านั่งใกล้ท่านแล้ว เป็นสบายยิ่งกว่านั่งใต้ร่มไม้ ทําไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะท่านแผ่ออกแต่ความรัก ความเมตตาต่อทุกคนไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกล เมตตาเป็นคุณธรรม อันก่อให้เกิดความรักและความเห็นใจ ครูบาศรีวิไชยท่านมี ปกติเป็นอย่างนั้น ใคร ๆ ได้เข้าใกล้ท่านแล้ว ก็มีความสงบ สบายใจเสมอ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นข้อใหญ่ คนเราทุกคน มุ่งทําอะไรก็จะให้ได้ประโยชน์ตนบ้าง ประโยชน์ผู้อื่นบ้าง สําหรับครูบาศรีวิไชย ประโยชน์ตนไม่มี เพราะท่านมิได้เป็น พระคณาธิการ ท่านเป็นแต่เพียงพระของประชาชนเท่านั้น ชีวิตของท่านเป็นอยู่เพื่องานอันเป็นสาธารณะอย่างเดียว คําว่าเห็นแก่ตนนั้น ไม่มีในปทานุกรมแห่งใจของท่าน จึงปรากฏ ว่าท่านย้ายไปโน่นมานี่บ่อย ๆ ทุกแห่งที่ท่านไปก็มุ่งไปทําประโยชน์ทั้งสิ้น เมื่อไปถึงแล้วก็ลงมือทําทันที พอทําเสร็จ แล้วก็เดินทางไปที่อื่นต่อไปอีก โดยมิต้องกังวลต่ออะไร ๆ ทั้งสิ้น ท่านมีปฏิปทาคล้ายนกที่มีแต่ปีกหาง แล้วโผผินบินไปได้ อย่างสบายใจ ถ้ามองดูถึงสาธารณประโยชน์ที่ท่านได้ทําไว้แล้วมิใช่สิ่งเล็กน้อย เป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรปลื้มใจ ในการที่พระขนาดมีใจเป็นโพธิสัตว์ได้เกิดมาในโลก สิ้นสุดชีวิต อันเจิดจ้าไฉไลของครูบาศรีวิไชย เพียงเท่านี้

 



อ้างอิง-ที่มา : https://www.108prageji.com/ครูบาเจ้าศรีวิชัย/
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ : เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ ให้ตรงใจคุณยิ่งขึ้น
x